ไอเดียชุมชน
/7djkodikaปีใหม่แล้วก็คือปีใหม่อย่าไปให้ความสำคัญอะไรกับปีใหม่มันก็แค่วันที่31บสวกอีก1วันก็มค2025แค่นั้น
อยากให้โฟกัสว่าเราจะได้อิสระภาพการเงินเมื่อไหร่ต่อให้มีอีกกี่ปีใหม่มันก็ไม่มีค่าอะไรหากเรายังไม่หลุดพ้น
ฉะนั้นตั้งใจลดละเลิกการสังสรร ทรมารตนเองตั้งเป้าความสำเร็จให้กับตัวเองว่าเราจะต้องทำให้ได้เพื่อให้ปีใหม่ต่อไปเป็นปีที่สดใสสำหรับเราและครอบครัวของเรา
ต่อไปนี้ผมยัง
ใช้ชุดวิเคราะห์เดิมM15ทำPA BUYไม่ผ่านเส้นฟ้าBUYได้เก็บTP บริเวณต้านM5
Improve your Strategy วิธีปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายในตลาด ForexImprove your Strategy
วิธีปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายในตลาด Forex
👯👯👯 กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว กับบทความเทคนิคดีๆในการเทรด วันนี้แอดพาพวกเราไปทำการบ้านกันครับ การบ้านในการเทรดก็คือการปรับปรุง ปรับแต่ง และการพัฒนากลยุทธ์ในการเทรดนั่นเอง มาครับไปดูกันว่าเราควรเริ่มจากอะไรได้บ้าง
💁 เพราะตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก การซื้อขายสกุลเงินถือเป็นธุรกิจที่ทำได้ง่าย และรวยเร็ว และจนเร็วได้ด้วยเช่นกัน การปรับปรุงกลยุทธ์การเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จนั้นก็ต้องใช้เวลา และความพยายาม และความเข้าใจในตลาดอย่างลึกซึ้ง
💁การปรับปรุงกลยุทธ์หรือเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเทรด จึงถือเป็นเคล็ดลับที่เราควรต้องทำ อย่างน้อยปีละครั้งครับ
💁เพราะตลาดการเงินในตอนนี้ส่วนใหญ่แล้ว AI โรบอทเข้ามามีบทบาทสำคัญมากในตลาด ไอ่เจ้าพวกนี้แหละที่คอยจับตาและสร้าสถิติการเลียนแบบการเทรด รวมไปถึงพฤติกรรมการเทรดของเรา ให้เราชนะได้ยากขึ้น และแพ้มากขึ้นนั่นเอง
1.การเลือกโบรกเกอร์และประเภทบัญชีที่เหมาะสม
เพราะโบรกเกอร์นั้นมีเยอะและหลากหลาย แต่ประสิทธิภาพไม่ได้เหมือนกันทุกโบรก
- บางโบรกข่าวมาก็ค้างบ่อย
- บางโบรกมีเก็บค่า swap บางโบรกไม่มี
- ค่าสเปรดสูง-ต่ำ ไม่เท่ากัน ฯลฯ
การเลือกโบรกจึงค่อนข้างสำคัญฮะ เพราะความหลากหลายตรงนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำกำไร เราต้องวางแผนให้ดี ว่าการเทรดของเรา เป็นไปในลักษณะไหน ถ้าชอบถือนานๆเป็นอาทิตย์เป็นเดือน ก็ไม่ควรเลือกโบรกที่มีค่า swap แล้วหันไปเลือกโบรกที่ไม่มีค่าswap แทน เป็นต้น
2. Leverage เลเวอเรจ เป็นได้ทั้งปืนและดาบสองคม
ยิ่งซื้อมาก(Overtrade) ยิ่งล้างง่าย คำนี้จำให้ขึ้นใจ เพราะเลเวอเรจไม่ต่างจากการยืมเงินคนอื่นมาใช้ หากชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็เตรียมหงายการ์ดล้มละลายได้เลย แต่หากใช้ให้ถูกทาง ถูกหลักและแบบแผนในการเทรดเราแล้วหละก็ มีแต่กำไรแน่นอนครับ
เราต้องเลือกเลเวอเรจ ที่ไม่มากจนเกินไป และไม่น้อยจนเกินไป เพราะอัตราส่วนเลเวอเรจเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงและความเหมาะสมในการเทรดของแต่ละคนครับ คำนวณดีๆยังไงเราก็ชนะแน่นอน
3. ปรับเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ผลกำไรและการขาดทุน
เพราะค่าเฉลี่ยความผันผวนการวิ่งในตลาดนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายการทำกำไร และการกำหนดจุดหรือเปอร์เซ็นต์การเทรดจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตาม
เช่น เราเคยทำกำไรจากตลาดทองคำ เราจะรู้ว่าเมื่อก่อนนี้หรือปีที่ผ่านๆมา ทองจะวิ่งแต่ละครั้งไม่เกิน 10-15$ หรือคิดเป็น 10,000 - 15,000 จุด แต่ในปีนี้ และปีถัดไป มันไม่ใช่แล้ว ทองสามารถวิ่งสวิงในแต่ละรอบ อยู่ที่ 50 -100$ ในแต่ละวัน เอ๊า! คิดดูเอาเองแล้วกัน ถ้าเรายังต้องการกำไร-ขาดทุนที่ 10 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม เราจะเทรดขาดทุนตลอดเวลา ด้วยสัดส่วนที่มันกว้างมากขึ้นนี่เอง
4. จดบันทึกยังคงสำคัญเสมอ
อดีตมักสอนเราเกี่ยวกับอนาคต ดังนั้นการจดสถิติการเทรดของตัวเอง การติดตามการซื้อขายของเราเองจึงช่วยทำให้เราเห็นจุดอ่อนและจุดแข็ง อย่าปล่อยให้ AI โรบอทมาล้วงความลับของเราแค่ฝ่ายเดียว
การวิเคราะห์ข้อมูลของตัวเอง ช่วยให้เราเห็นจุดบอด และทำให้เราแก้ไขได้ตรงจุดด้วยนะ รวมไปถึงการอัพเกรดให้มันมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
5. จิตวิทยาและ mindset ก็สำคัญไม่แพ้กัน
อย่าปล่อยปะละเลยกับความสุขที่แท้จริงในชีวิต การไม่มีอะไรและการไม่คิดอะไรเลยคือความสุขที่ถาวร ปรับเปลี่ยนความคิดของเราให้ไม่ยึดติดมากเกินไปในการเทรด สิ่งนี้แหละจะช่วยทำให้เราชนะตลาดได้มากขึ้น พยายามฝึกจิต ควบคุมอารมณ์ และปล่อยวาง ไม่จดจ่ออยู่ที่ผลกำไรมากเกินไป แล้วความสุขจะมาหาเราเองครับ
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะได้ทริคดีๆในการปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะครับ มันดีจริงๆแอดคอนเฟริมเลย
แล้วที่สำคัญ หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
ฝึกอ่านกราฟแนวโน้มSWเทรดSW MM ออกไม้ในจุดที่ใช่มีเงื่อนไขที่เราคิดว่าใช่เคยทำแบบนี้แล้วได้ก็เอาแบบนั้นฝึกเข้าไปปรับแต่งจูนระบบเราให้เหมาะสมว่าเหมาะกับช่วงเวลาเทรดแบบใดตลาดเช้าบ่ายค่ำ รูปแบบที่เหมาะสมเช่น เทรดกับSWดีหรือเทรนกับกราฟเลือกทางแล้วดี แล้วเก็บได้กี่จุดต่อรอบในTFที่เท่าไหร่คิดคำนวนทำลงไปซ้ำๆ
Day Trading Strategy กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?Day Trading Strategy
กลยุทธ์การเทรดรายวันมีอะไรบ้างนะ?
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย บทความนี้เอาใจสายเทรดที่ชอบเก็บกำไรทุกวันครับ มาครับมา ใครชื่นชอบหรือเสพติดการเทรดแบบรายวันต้องอ่านแล้วน๊า
การเทรดรายวัน (Day Trading) คือการซื้อและขายสินค้าหรือสินทรัพย์ทางการเงินให้จบภายในวันเดียวกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในตลาด โดยการเปิดและปิดจบในวันเดียว ไม่มีแช่ หรือข้ามวันนั่นเอง
กลยุทธ์ Day Trading มีอะไรบ้าง
1. การเทรดแบบ Scalping
กลยุทธ์นี้ใช้กรอบเวลาตั้งแต่ 1นาทีขึ้นไป จนถึง 30 นาที ทำกำไรได้น้อย แต่บ่อยครั้ง
2. กลยุทธ์ Range trading
กลยุทธ์นี้ส่วนใหญ่จะใช้ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นหลัก เพื่อกำหนดจุดในการเข้า หรือเรียกว่า Swing Trading โดยจะเข้าทำกำไรและถือนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ไม่ข้ามวัน
3. กลยุทธ์ News-based trading
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากความผันผวน เหตุการณ์ข่าวและพาดหัวข่าว เพราะกราฟค่อนข้างวิ่งเร็วและแรง ส่วนใหญ่นิยมเทรดหลังจากข่าวออกตั้งแต่วินาทีแรก จนถึง15 นาที แรก และ เทรดอีกครั้ง หลังข่าวออกไปแล้วอีก 15 นาที เรียกว่าเก็บรอบกำไรได้หลายทางแล้วแต่ความถนัดและความชำนาญ
4. กลยุทธ์ Reversal
กลยุทธ์นี้จะทำการซื้อขายจากการกลับตัวของเทรนในระยะสั้นและระยะยาวได้หมด ขึ้นอยู่กับแพทเทรินก่อนหน้าที่เป็นตัวบอกเทรนด์
เทคนิคการเทรดรายวัน
1. การวิเคราะห์เทคนิค (Technical Analysis) พวกกราฟแท่งเทียนเป็นต้น
2. การวิเคราะห์ข่าวสารและเหตุการณ์ (Fundamental Analysis) อ่านข่าวให้เยอะเข้าไว้
3. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Indicators) สำคัญมากเลือกให้ตรงกับใจเราคือใช้แล้วชอบใช้แล้วดีนั่นเอง
4. การกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเทรด เราจะได้เทรดตามแผนเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
5. การควบคุมการเสี่ยง ตัวนี้สำคัญ รู้แพ้ รู้ชนะ ยังไงเราก็กำไรฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรที่ดีของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
การหาเทรนด์ด้วย EMA ในการเทรด Forexการหาเทรนด์ (Trend) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเทรด Forex เพราะช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้ในการหาเทรนด์คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (Exponential Moving Average หรือ EMA)
EMA คืออะไร?
EMA คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลราคาล่าสุดมากกว่าข้อมูลในอดีต ทำให้เส้น EMA ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาได้รวดเร็วกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา (Simple Moving Average หรือ SMA) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการวิเคราะห์ตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น ตลาด Forex
การใช้ EMA ในการหาเทรนด์
การใช้ EMA เพื่อหาเทรนด์สามารถทำได้โดยการวิเคราะห์ตำแหน่งของราคาและการเปรียบเทียบ EMA หลายเส้นดังนี้:
การวิเคราะห์ตำแหน่งของราคา
หากราคาปัจจุบันอยู่เหนือเส้น EMA แสดงว่าแนวโน้มตลาดกำลังเป็นขาขึ้น (Uptrend)
หากราคาปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าเส้น EMA แสดงว่าแนวโน้มตลาดกำลังเป็นขาลง (Downtrend)
การใช้ EMA หลายเส้น
การใช้ EMA หลายเส้น เช่น EMA 30, EMA 50 และ EMA 100 ช่วยให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มระยะสั้นและระยะยาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการหาเทรนด์:
หาก EMA 30 > EMA 50 > EMA 100 หมายถึงตลาดอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น
หาก EMA 30 < EMA 50 < EMA 100 หมายถึงตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง
ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดด้วย EMA
กลยุทธ์ Cross Over
เมื่อเส้น EMA ระยะสั้น (เช่น EMA 30) ตัดขึ้นเหนือเส้น EMA ระยะยาว (เช่น EMA 50) เป็นสัญญาณซื้อ (Buy Signal)
เมื่อเส้น EMA ระยะสั้นตัดลงใต้เส้น EMA ระยะยาว เป็นสัญญาณขาย (Sell Signal)
การใช้ EMA ร่วมกับแนวรับแนวต้าน
หากราคาปรับตัวลงมาทดสอบเส้น EMA ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับ และเด้งกลับขึ้นไป อาจเป็นจุดเข้าเทรด Buy
หากราคาปรับตัวขึ้นมาทดสอบเส้น EMA ที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และปรับตัวลง อาจเป็นจุดเข้าเทรด Sell
การวัดความแข็งแกร่งของเทรนด์
หากระยะห่างระหว่างเส้น EMA หลายเส้นกว้างขึ้น แสดงว่าเทรนด์มีความแข็งแกร่ง
หากเส้น EMA เริ่มเข้ามาใกล้กัน อาจบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของเทรนด์หรือการเข้าสู่ช่วงไซด์เวย์ (Sideway)
ข้อควรระวังในการใช้ EMA
EMA ตอบสนองต่อราคาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก (False Signal) ได้ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
ควรใช้ EMA ร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น RSI, MACD หรือ Fibonacci เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
สรุป
การใช้ EMA ในการหาเทรนด์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับนักเทรดทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ควรทำการทดสอบกลยุทธ์ (Backtest) และฝึกฝนการใช้งานในบัญชีทดลองก่อนนำไปใช้ในบัญชีจริง เพื่อให้มั่นใจว่ากลยุทธ์เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ
BTC พักฐานที... ลึกแค่ไหน?ใครที่อยู่กับเหรียญปีศาจ BTC มานานพอ ก็จะรู้เช่นเห็นชาติมันดีว่า ตอนบทพี่เขาจะไป เขาก็จะไปรัวๆๆๆ จนหลายๆ คนตกรถ แล้วต้องไปไล่ราคา แต่! บทพี่เขาจะพัก เขาก็พักซึมยาวๆ จนหลายๆ คนท้อเช่นกัน วันนี้ลองมาย้อนดูกันว่า เหรียญปีศาจนี่พักกันลึกแค่ไหนนะครับ
🟢 2024
- ช่วงกลางๆ ปี 2024 BTC วิ่งแรงไปทำ ATH ที่ 73,700 ช่วงเดือนมีนาคม ก่อนจะ sideway ออกข้างไม่ไปไหนอยู่เป็นเวลา 7 เดือนเต็ม โดยช่วงที่ลงหนักที่สุดก็คือ 5 สิงหาคม โดยวันนั้นลงไปต่ำสุดถึง 49k หรือ ประมาณ -34% ถ้าวัดจากยอด ATH 73k ครับ
🟢 2023
- ช่วงกลางๆ ปี 2023 BTC ก็ออกข้างและพักฐานยาวและนานพอๆ กันกับปีนี้ โดยช่วงนั้นไปพีคสุดที่ 31k ก่อนจะพักฐานลงมาที่ 25k หรือลงไปประมาณ -22% ครับ
- จริงๆ แล้วปี 2023 เป็นปีที่กราฟแกว่งโหดอยู่เหมือนกัน เพราะ BTC ลงไปลึกระดับ -20% ถึงสามครั้งด้วยกัน คือ ช่วงเดือน มีนาคม มิถุนายน และ กันยายนครับ เรียกง่ายๆ ว่าลงจนท้ออ่ะ 555
🟢 2022
- ปีนี้อย่าเรียกว่าพักฐานเลย เรียกว่าขาลงยับเลยดีกว่า เพราะลงทำ new low ไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี ก็ขอมองแค่ว่า ราคาสูงสุดของปีนั้น ก็คือ 48k และราคาต่ำสุดคือ 15k ครับ หรือลงไปประมาณ -67% และถ้าเทียบกับยอดของปี 2021 ที่ 69k ก็จะลงไปราวๆ -77% นั่นเอง
🟢 2021
- ปีนี้ เป็นปีที่หลายๆ คนพอร์ตโตพลิกชีวิตช่วงต้นปี ก่อนจะไปหมดตัวไม่เหลืออะไรในปี 2022 ซึ่งขนาดขาขึ้นโหดๆ แบบนี้ก็ยังมีช่วงที่ BTC พักฐานหนักอยู่เช่นกันครับ
- ช่วงที่พักฐานหนักสุดคือช่วง เมษา - กรกฏา 21 โดยช่วงนั้นลงไปจากยอด 65k ลงมาเหลือแค่ 29k ครับ หรือลงกันไป -54% ในเวลา 4 เดือน ถือว่าเป็นช่วงนรกแตกของปีนั้นเลยก็ว่าได้ หลายๆ คนก็คืนกำไรกันไปหนักในช่วงนั้นครับ
- หลังจากนั้นก็มีพักฐานลึกๆ บ้างประปราย ในช่วงก่อนขาขึ้นปลายปี ก็ลงไป -25% ก่อนไปต่อ ส่วนตอนขาขึ้นต้นปีก็ลงไป -30% เช่นกัน
🟢 2020
- ปีนี้ช่วงที่ลงหนักสุดคือตอน covid dump โดยลงจาก 10k ลงไปเหลือแค่ 3.8k หรือ -64% ในเวลาไม่นาน ช่วงนั้นใครใช้ leverage น้อยสุดขนาด 2x ยังปลิวกันเรียบครับ
- หลังจากเด้งกลับก็มีพักฐานช่วงปลายปีอีกรอบ ประมาณ -20% ก่อนจะไปต่อกันอีก
🟢 2019
- เป็นปีที่ BTC ฟื้นจากหลุมมาแรงมาก โดยช่วงที่แย่ที่สุดคือช่วงกลางถึงปลายปี ที่ BTC ลงจากยอด 14k ไปเหลือแค่ 6.4k โดยลงไปถึง -53% กันเลยทีเดียว ก่อนหน้าต้นปีก็มีลงไป -20% เช่นกัน
🟢 2018
- ตลาดหมีอันโหดร้ายครั้งแรกของใครหลายๆ คน รวมถึงผมด้วย โดยปีนี้ BTC มันก็ขึ้นๆ ลงๆ แบบโหดเป็นภูเขาที่เตี้ยลงเรื่อยๆ ของมัน ในการขึ้นลงแต่ละรอบ ก็ลงกันไปราวๆ -30% ถึง -45% มาทิ้งหนักที่สุดก็ช่วงปลายปีที่หลุด 6k ลงไปเหลือแค่ 3k แค่นั้นก็ลงไป -50% แล้วครับ
- และถ้าวัดจากยอด Peak 20k เหลือ 3k ก็ลงมา -84% นั่นเอง
🔶 แล้วเราได้อะไรจากข้อมูลนี้?
1. การ Hold BTC ระยะยาว มัน "ไม่ง่าย" โดยเฉพาะถ้าเรา buy แถวๆ ยอด เพราะทุกๆ ครั้งที่คนกาว หลังจากนั้นมันจะลงค่อนข้างแรง ระดับ -20% ถึง -30% เสมอ
2. การ hold BTC ระยะยาวจริงๆ ก็ไม่ง่าย ถึงแม้ทุนของท่านจะต่ำก็เถอะ เพราะทุกครั้งที่ BTC เจอขาลงใหญ่ เช่นปี 2018 และปี 2022 มันจะ challange พอร์ตระยะยาวของคุณมากๆ ว่า mental ของคุณจะทนการคืนกำไรที่หนักหนาสาหัสระดับ -80% ได้ไหม
🔷 สรุปแล้ว ผมก็แอบเห็นด้วยกับคำแนะนำของฝรั่งช่วงล่าสุด ที่บอกให้ allocate portfolio มาเป็น BTC สักเล็กน้อย เช่น 2% เป็นต้น เพราะ เอาจริงๆ 2% ถ้ามองกันเป็นระดับ portfolio มันก็คือพอร์ตพนัน ที่ยอมเสียได้ทั้งหมดน่ะแหละ 555 และถ้าลงแค่ 2% มันจะแกว่ง -80% ทุกรอบก็แทบจะไม่มีผลกระทบอะไรกับพอร์ตโดยรวมอยู่แล้วครับ
🔷 แต่สำหรับคนที่อาจจะมีความรู้ มีแผนของตัวเอง ก็อาจจะลงทุนใน BTC ในสัดส่วนที่มากกว่าคำแนะนำข้างต้นก็ได้นะ แต่ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่า... ไอ้ผีนี่ มันมีโอกาสลงไปสูงสุดที่ -80% จากยอดเสมอครับ ดังนั้น ก็ไปออกแบบสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกันเองนะครับ
Moving Average Guide เส้นไหนโดนใจที่สุดMoving Average Guide เส้นไหนโดนใจที่สุด
👯👯👯 กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว กับบทวามเทคนิคดีๆในการเทรด วันนี้เอาใจเทรดเดอร์ที่ชื่นชอบเส้น EMA แต่เอ๊ะ EMA ทำไมมีหลายเส้นจัง มาครับ บทความนี้มีคำตอบ
Moving Average คืออะไร??
Moving Average (MA) หรือที่เราเรียกว่า เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็น Indicators ที่ใช้ง่ายถึงง่ายที่สุดและถูกนำไปใช้งานบ่อยและเป็นที่นิยมมากในตลาดการเงินและะตลาดหุ้น
แต่เคยสังเกตุมั้ยทำไมเส้น Moving Average ถึงมีให้เลือกใช้งานมากมายหลากหลายประเภทจัง ในหัวข้อนี้แอดจะเน้นไปที่เส้น Exponential Moving Average (EMA) เพราะเป็นค่ามาตรฐานที่ค่อนข้างละเอียด และเป็นที่นิยมกันมาก
ส่วนใหญ่ เส้น EMA ก็จะมีการคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลังไปครับ ไม่ว่าจะเป็นเส้นย้อนหลังไป 5 วัน หรือ 10 วัน 100 วัน หรือมากกว่า ทีนี้เรามาดูกันดีกว่า ว่าเส้น EMA ย้อนหลัง เส้นแบบไหนที่เหมาะกับเราบ้าง
1. หากเราชื่นชอบการเทรดสั้นๆเน้นเข้าเร็วออกเร็ว เหมาะกับการเทรดแบบ Day Trading และ Scalping ปิดจบในวัน แอดแนะนำให้ใช้เส้น 5 หรือ 9 หรือ 10 โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน ส่วนใหญ่จะใช้เส้น 20 , 100 เป็นเส้นหลักในการรตัดกัน
2. หากเราชื่นชอบการเทรดระยะกลางๆปิดจบรายวัน ตั้งแต่ H1 ขึ้นไปจนรายวัน และเหมาะกับการเทรดตามเทรนด์ หรือ Trend Following แอดแนะนำให้ใช้เส้น 25 หรือ 50 หรือ 75 โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน ส่วนใหญ่จะใช้เส้น 20 , 100 เป็นเส้นหลักในการรตัดกัน
3. หากเราชื่นชอบการเทรดระยะยาว ตั้งแต่รายวันจนถึงรายวีคและรายเดือนขึ้นไป เหมาะกับการเทรดตามเทรนด์ หรือ Trend Following แอดแนะนำให้ใช้เส้น 20 ร่วมกับเส้น 100 และ 200 ขึ้นไป โดยที่เราต้องมีเส้นตัดบอกทิศทาง 1-2 เส้นขึ้นไปร่วมด้วย เพื่อบอกแนวรับแนวต้าน
เส้น EMA ที่นิยมใช้
เส้น EMA5 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 วันทำการ หรือ 1 สัปดาห์
เส้น EMA10 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 วันทำการ หรือ 2 สัปดาห์ หรือ ประมาณครึ่งเดือน
เส้น EMA20 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 วันทำการ หรือ 4 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 1 เดือน
เส้น EMA25 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 25 วันทำการ หรือ ประมาณ 1 เดือน
เส้น EMA40 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 40 วันทำการ หรือ 8 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 2 เดือน
เส้น EMA50 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 50 วันทำการ หรือ ประมาณ 2 เดือน
เส้น EMA75 = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 75 วันทำการ หรือ ประมาณ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส
เส้น EMA200 = การคำนวณค่าเฉลี่ยเป็นตัวเลขกลม ๆ ของจำนวนวันประมาณ 3 ไตรมาส
👽👽👽 เป็นอย่างไรกันบ้างครับพอจะได้ทริคดีๆในการใช้เส้น EMA กันบ้างแล้วใช่มั้ยครับ แอดว่ามันเรียบง่ายและใช้ง่ายที่สุดแล้วครับ แต่อย่าใส่เส้น EMAเยอะเกินไปจนลายตานะครับ ไม่งั้นนอกจากจะดูกราฟไม่รู้เรื่องแล้วเผลอๆจะเข้าออเดอร์ผิดๆถูกๆไปอีก
แล้วที่สำคัญ หมั่นฝึกฝนการเทรดให้ได้ทุกวัน ยิ่งเราเทรดบ่อยๆเราจะเก่งขึ้นเองครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM และสร้างแผนการเทรดที่ดีด้วยนะครับ จะช่วยทำให้เราแกร่งมากยิ่่งขึ้น และเจ็บน้อยลง แอดเอาใจช่วยนะครับ
ความยากในการเป็น Full-Time Traderการเป็น Full-Time Trader คือความฝันของใครหลายคนที่ต้องการอิสรภาพทางการเงินและเวลา แต่ในความเป็นจริงนั้น ความยากลำบากและความท้าทายที่ซ่อนอยู่มักไม่ได้รับการพูดถึงอย่างชัดเจน บทความนี้จะพาคุณสำรวจปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้การเป็น Full-Time Trader ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด
1. ความกดดันทางการเงิน
Full-Time Trader ต้องพึ่งพารายได้จากการเทรดเป็นหลัก หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง อาจทำให้เกิดความเครียดสะสม อีกทั้งยังต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่น ๆ การไม่มีรายได้ที่มั่นคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ
2. ความไม่แน่นอนของตลาด
ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเทรดต้องเผชิญในทุกวัน การคาดการณ์ทิศทางของตลาดไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าคุณจะมีประสบการณ์หรือใช้เครื่องมือทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยมก็ตาม การขาดทุนอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ขาดความมั่นใจและส่งผลต่อจิตใจ
3. การบริหารความเสี่ยง
หนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของ Full-Time Trader คือการบริหารความเสี่ยง หากไม่มีการวางแผนที่ดีหรือการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น การรักษาเงินทุนเป็นสิ่งที่ยากและต้องอาศัยความมีวินัยอย่างสูง
4. ความรู้และทักษะที่จำเป็น
Full-Time Trader ไม่ได้อาศัยแค่โชคหรือการคาดเดา แต่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับตลาด การวิเคราะห์เทคนิค และการวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ การพัฒนาทักษะเหล่านี้ต้องใช้เวลา การฝึกฝน และการลงทุนในการศึกษาอยู่ตลอดเวลา
5. ผลกระทบต่อสุขภาพจิต
ความกดดันจากการขาดทุน ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO) หรือแม้กระทั่งการติดตามตลาดตลอดเวลา สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้อย่างมาก Full-Time Trader ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งและสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้ดี
6. การจัดการเวลา
แม้ว่าการเป็น Full-Time Trader จะดูเหมือนมีอิสระในการจัดการเวลา แต่ในความเป็นจริง การติดตามตลาด วิเคราะห์กราฟ และวางแผนการเทรดอาจใช้เวลามากกว่าการทำงานประจำเสียอีก การไม่มีตารางเวลาที่ชัดเจนอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและลดประสิทธิภาพในการเทรด
7. การปรับตัวกับเทคโนโลยี
ในยุคปัจจุบัน การเทรดต้องอาศัยเทคโนโลยี เช่น การใช้โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูล การตั้งค่า EA (Expert Advisor) หรือการใช้ API เพื่อการเทรดอัตโนมัติ Full-Time Trader ต้องมีความเข้าใจในเทคโนโลยีเหล่านี้และพร้อมที่จะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง
วิธีเตรียมตัวรับมือกับความยากลำบาก
การวางแผนทางการเงิน: ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6-12 เดือนเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในกรณีที่เทรดไม่มีกำไร
การเรียนรู้และพัฒนา: หมั่นศึกษาและปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดของตนเองอยู่เสมอ
การสร้างเครือข่าย: การพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเทรดเดอร์คนอื่นสามารถช่วยให้คุณเห็นมุมมองใหม่ ๆ
การดูแลสุขภาพ: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และฝึกสมาธิเพื่อลดความเครียด
บทสรุป
การเป็น Full-Time Trader ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายในตลาดการเงิน แต่ยังต้องมีวินัย ความรู้ และความสามารถในการจัดการอารมณ์ของตนเอง แม้ว่าจะมีความยากลำบาก แต่หากเตรียมตัวและปรับตัวอย่างเหมาะสม คุณอาจสามารถก้าวข้ามความท้าทายและประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้ได้
How To Hold Swing Trades สวิงเทรดแบบไหนให้ได้กำไรHow To Hold Swing Trades สวิงเทรดแบบไหนให้ได้กำไร
👽👽 กลับมาพบเจออกันอีกแล้ว กับเทคนิคการทำกำไร ทริคดีๆทริคเด็ดๆ ที่แอดเอามาฝากกันเช่นเคย วันนี้เอาใจสายเทคนิคอลอีกแล้ว ใครที่ชื่นชอบการเทรดสวิงเทรนรีบมาอ่านกันในโพสนี้
Swing Trades การเทรดแบบสวิงเทรดจัดเป็นกลยุทธิ์การเทรดที่ทำกำไรได้ดีทีเดียวด้วย win rate 60-70% จัดว่าเด็ดไม่เบาทีเดียวเชียว กลยุทธิ์นี้ไม่เหมาะกับคนที่มือหนักใจหนักนะฮะ รักจะเทรดแนวนี้ต้องตอดเล็กตอดน้อยฮะ เล็กสั้น ขยันซอย ว่าซั่น
Swing Trades เทรดอย่างไร??
1. ปกติแล้วการเทรดแบบ Swing Trade มักจะเทรดบ่อยๆไม่เน้นการถือออเดอร์ข้ามวันฮะ แต่บางทีอาจต้องถือออเดอร์นานหลายวัน ทำไมหล่ะ ?? ถ้าพูดภาษาง่ายๆบ้านๆ คือใช้ออเดอร์ไม้ล่อ เป็นหินถามทางนั่นเอง
2. เมื่อมีออเดอร์ไม้ล่อให้ดูแล้ว เราจะรู้จุดเข้าออกได้ไม่ยาก ในการทำกำไร และสามารถคำนวณกำไร ขาดทุนได้ง่ายกว่าเดิม เทรนด์ส่วนใหญ่มักมี 2 รูปแบบ คือ Sideway up ค่อยๆไต่ขึ้น และ sideway down ค่อยๆไต่ลง
3. ฟังดูง่ายแต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะตัวในการเทรดมานานๆ และอินดิเคเตอร์คู่ใจสัก 2-3 ตัวไว้ช่วยตัดสินใจการเข้าเทรดฮะ ส่วนมากจะนิยมใช้ใน Time Frame 30M และ 4H และส่วนใหญ่ให้น้ำหนักจากกราฟแท่งเทียนเป็นสัญญาณในการเข้าออเดอร์
4. การ Swing Trade มักใช้ Risk Reward ประเมินจุดเข้า (Entry),จุดทำกำไร (Exit) และจุดตัดขาดทุน (Stoploss) จึงได้รับความนิยมในฐานะที่ใช้ควบคุมและจัดการความเสี่ยงได้อย่างดี
หลักในการเทรด Swing Trades
1. เก็บเล็กผสมน้อย
เน้นการเข้าเร็วออกเร็ว โดยอาศัยจังหวะการเด้งขึ้นเด้งลงตามกรอบไซด์เวย์ ที่เป็นแนวรับแนวต้าน
2. เข้าเร็วออกเร็ว
การเทรดลักษณะนี้ใช้เวลาไม่นานในการเฝ้าจอ หรือบางทีไม่ต้องเฝ้าจอก็ได้ เพราะราคามักเด้งขึ้นเด้งลงในกรอบ และขยับไม่มากค่าเฉลี่ยระยะการวิ่งในการทำกำไรจึงอยู่ที่ 100-200 จุด ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงินด้วยอีกทาง
3. ย่อแล้วไปต่อ
เน้นการทำกำไรจากการลงไปทดสอบแนวรับหรือต้านเดิมแล้วไม่ผ่าน จากกรอบไซด์เวย์นั้นๆ เพื่อย่อแล้วไปต่อ
4. สั้นก็ได้ ยาวก็ดี
สามารถเทรดพลิกแพลงให้เก็บกำไรในระยะยาวได้ด้วยนะเออ หากเรามีไม้ล่อและมีทุนมากพอในการเทรดแบบต่อเนื่อง เช่นกลยุทธิ์การเทรดแบบมาร์ติงเกลที่หวังผลในระยะยาวในการทบต้นทบดอกแต่ถ้าเงินทุนไม่มากพอ ไม่แนะนำให้ลองนะฮะ
👽👽👽เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้ทริคดีๆในการทำกำไรเพิ่มกันแล้วใช่มั้ยครับ อย่าลืมเอาไปลองใช้กันดูนะฮะ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทคนิคการทำกำไรเบอร์ต้นๆของเราเลยก็ว่าได้ แอดหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เราอ่านกราฟได้ดี อ่านกราฟได้เก่งมากขึ้นนะครับ จำไว้เสมอว่ากราฟมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่ต้องไปเครียดกะมันหมั่น ฝึกฝนและเพิ่มเติมความรู้อย่างสม่ำเสมอ รับรอง เทรดยังไงก็รอดครับ และที่สำคัญอย่าลืม MM กันด้วยนะครับ วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนครับ แอดเอาใจช่วยสู้ๆ
High Net Worth คือใคร : ความหมายและวิธีการใช้ประโยชน์ในโลกของการลงทุนและการเทรด บุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูง หรือ High Net Worth Individuals (HNWIs) ถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในตลาดการเงิน ด้วยสินทรัพย์ที่มากพอสำหรับการลงทุน พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มลูกค้าพิเศษที่มีสิทธิพิเศษเหนือกว่านักลงทุนทั่วไป ไม่เพียงแต่พวกเขาสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่หลากหลายเท่านั้น แต่ยังมีทรัพยากรและเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วย
ในบทความนี้ เราจะอธิบายความหมายของ High Net Worth และวิธีที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากสถานะ HNW ในการเทรดและการลงทุนได้
High Net Worth คืออะไร?
High Net Worth หมายถึงบุคคลที่มีทรัพย์สินทางการเงินพร้อมลงทุนในระดับที่สูง ซึ่งมักกำหนดเกณฑ์เริ่มต้นที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 35 ล้านบาท) ขึ้นไป โดยไม่รวมมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
บุคคล HNW มักถูกจัดกลุ่มตามระดับความมั่งคั่งเพิ่มเติม เช่น:
High Net Worth Individuals (HNWIs): ทรัพย์สิน 1-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Very High Net Worth Individuals (VHNWI): ทรัพย์สิน 5-30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Ultra High Net Worth Individuals (UHNWIs): ทรัพย์สินมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
High Net Worth ในการเทรด: บทบาทและสิทธิพิเศษ
กลุ่ม HNW มีอิทธิพลสำคัญในตลาดการเงิน เนื่องจากความสามารถในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน สิทธิพิเศษที่มักมอบให้กลุ่ม HNW ได้แก่:
บัญชีพรีเมียมสำหรับการเทรด (Premium Trading Accounts)
-โบรกเกอร์หลายแห่งเสนอ บัญชี VIP สำหรับ HNW ซึ่งมาพร้อมเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น:
-ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า
-เลเวอเรจที่สูงขึ้น
-รายงานการวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ
-การเข้าถึงสินทรัพย์เฉพาะกลุ่ม
-HNW สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความพิเศษ เช่น:
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds)
ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives)
สินทรัพย์ทางเลือก เช่น คริปโตเคอร์เรนซี หรืออสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม
การสนับสนุนและคำแนะนำส่วนบุคคล
ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักจัดทำแผนการลงทุนเฉพาะตัวสำหรับลูกค้า HNW เพื่อช่วยให้พวกเขาบรรลุ
เป้าหมายทางการเงิน
การเข้าถึงตลาดพิเศษ
นักลงทุน HNW มีสิทธิ์เข้าถึง IPO (Initial Public Offering) หรือโอกาสการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพก่อนนักลงทุนทั่วไป